วันพฤหัสบดีที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

Pronoun



Pronoun (สรรพนามบุคคล)

Persenal Pronoun (สรรพนามบุคคล) คือ pronoun ที่ใช้แทนบุคคลหรือสิ่งของในการพูดสนทนา คือ ใช้แทนตัวผู้พูด, ผู้ที่พูดด้วย (ผู้ฟัง) และผู้ที่กล่าวถึง (หรือสิ่งที่พูดถึง)
First Person (บุรุษที่1) ได้แก่ ตัวผู้พูด: I, we
Second Person (บุรุษที่2) ได้แก่ ผู้ฟัง (ผู้ที่พูดด้วย): you
Third Person (บุรุษที่3) ได้แก่ สิ่งที่พูดถึง, ผู้ที่พูดถึง: he, she, it, they
ตารางแสดงรูปของ Personal Pronoun
เมื่อเป็นประธาน (Nominative)เมื่อเป็นกรรม (Accusative)
Ime
youyou
weus
theythem
hehim
sheher
itit
Persenal Pronoun (สรรพนามบุคคล) คือ (สรรพนามแสดงความเป็นเจ้าของ) คือ pronoun ที่ใช้แทนคำนามเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของ สามารถใช้ได้โดยลำพัง ได้แก่คำต่อไปนี้
mine, yours, his, hers, its, theirs, ours
ในการใช้คำเหล่านี้ จะต้องกล่าวถึงคำนามนั้นมาก่อน หรือเป็นที่รู้กันอยู่ก่อนแล้วว่าหมายถึงนามอะไร เช่น
  • I don't want your friend, mine are sufficient.
    ฉันไม่อยากได้เพื่อนของคุณหรอก เพื่อนๆ ของฉันก็พอแล้ว
    คำ mine แทนนาม friends คือ mine = my friends
  • That book is yours.
    หนังสือเล่มนั้นเป็นของคุณ
    คำ yours = your book
  • I gave my brother a book, but she gave hers two books.
    ฉันให้หนังสือแก่น้องชายของฉันเล่มหนึ่ง แต่หล่อนให้น้องชายของหล่อนสองเล่ม
    คำ hers = her brother ที่รู้เช่นนี้เพราะมีการพูดถึง brother มาก่อนประโยคแรก
  • He does not want to discuss his own troubles, he wants to speak about mine.
    เขาไม่ต้องการที่จะวิจารณ์เรื่องความยุ่งยากของเขาเอง เขาอยากที่จะพูดถึงความยุ่งยากของผม
    คำ mine = my troubles ที่รู้เช่นนี้เพราะมีการกล่าวถึง his troubles ในประโยคแรกมาก่อนแล้ว
  • Why do you call that house yours?
    ทำไมคุณจึงว่าบ้านหลังนั้นเป็นของคุณ
    คำ yours = your house
รูป Possessive ซ้ำซ้อน: มีรูปแบบการใช้ Possessive Pronoun อีกรูปหนึ่งคือ of + Possessive Pronoun เช่น
  • He is a friend of mine. (ไม่ใช้ a friend of me)
  • It was no fault of yours that we mistook the way.
  • I gave him some plants of mine in exchange for some of his.
เปรียบเทียบข้อแตกต่างระหว่าง
Possessive Pronoun กับ Possessive Adjective
Possessive AdjectivePossessive Pronoun
mymine
youryours
ourours
theirtheirs
hishis
herhers
its-
ตัวอย่าง
  • That is my book. = That book is mine.
  • That is your book. = That book is yours.
  • That is his book. = That book is his.
ข้อสังเกต: ไม่มีการใช้คำนามตามหลัง possessive pronoun แต่ possessive adjective ต้องมีคำนามตามหลังเสมอ
Reflexive หรือ Emphasizing Pronoun คือ pronoun ที่แสดงการเน้นย้ำให้เห็นเด่นชัด ได้แก่
PersonSingularPlural
1st Personmyselfourselves
2nd Personyourselfyourselves
3rd Personhimselfthemselves
herself
itself
สรรพนามชนิดนี้มีหน้าที่ 2 ประการคือ
  1. แสดงการกระทำต่อตนเอง (Reflexive Use) เช่น He hurts himself.
  2. แสดงการเน้น (Emphatic Use) เช่น He himself did it.
ข้อสังเกต: การใช้ Reflexive Pronoun ในลักษณะการเน้น มักจะวางคำ Reflexive Pronoun หลังคำเน้นเสมอ แต่อาจวางไว้ท้ายประโยคก็ได้ เช่น
  • I myself saw him do it. = I saw him do it myself.
  • The Duke himself piloted the plane. = The Duke piloted the plane himself.
เราใช้ -self ในกรณีต่อไปนี้
  • เมื่อกริยาของประโยคเป็นกริยาที่กระทำต่อตัวประธานเอง เช่น
    He made himself king. (เขาสถาปนาตัวเองเป็นกษัตริย์)
  • เพื่อหลีกเลี่ยงความกำกวม
    เช่นประโยคว่า I wash every morning. เป็นประโยคที่มีความกำกวม คือ เราไม่รู้ว่า wash อะไรหรือ wash ใคร เราควรใช้ประโยคนี้
    I wash myself every morning. (ฉันอาบน้ำทุกๆ เช้า)
  • เพื่อเน้น วาง -self ไว้หลังคำที่เน้น หรืออาจวางไว้ท้ายประโยคก็ได้ เช่น
    • He himself bought it. = He bought it himself.
      (เขาซื้อมันด้วยตัวของเขาเอง)
    • I myself did it. = I did it myself. (ฉันกระทำมันด้วยตัวของฉันเอง)
  • เพื่อแสดง subjective complement เช่น
    You are not yourself today. (วันนี้คุณไม่เป็นตัวของคุณเอง)
  • แสดงความหมายว่า โดยลำพังไม่มีใครช่วย ด้วยการเติม by -self
    • He did the work by himself.
      เขาทำงานนั้นโดยลำพัง (ด้วยตัวของเขาเองไม่มีใครช่วย)
    • The little girl can walk by herself.
      เด็กหญิงเล็กๆ คนนั้นสามารถเดินได้ด้วยตนเอง
หมายเหตุ
  • อย่าใช้ Reflexive Pronoun ถ้าไม่ได้กล่าวถึงสิ่งนั้นมาก่อน
    กรณีที่ผิด: He told myself.
    กรณีที่ถูก: He told me myself.
    ในกรณีหลังนี้มี me เป็น antecedent (สิ่งซึ่งกล่าวมาแล้ว) จึงใช้ myself ตามหลังได้ แต่กรณีต่อไปนี้ไม่ใช่เป็นการกล่าวลอยๆ คือ
    By himself, he could do it.
    เพราะประโยคอาจกลับเป็นได้ดังนี้
    He could do it by himself. (เขาสามารถทำมันด้วยตัวของเขาเอง)
    แต่ในกรณีของประโยคคำสั่ง antecedent ก็จะถูกละไว้ เช่น
    • Do it yourself ! ( = You do it yourself.)
      จงทำมันด้วยตัวของคุณเอง
    • Come yourself ! ( = You come yourself.) มาด้วยตัวคุณเอง
  • ให้ระวังความสับสนในความหมายของ -selves และ each other โดยสังเกตจากประโยคต่อไปนี้
    • The two boys hurt themselves.
    • The two boys hurt each other.
    ข้อ a หมายความว่าเด็กทั้งสองคนนั้น แต่ละคนก็ทำให้ตัวเองเจ็บเอง ไม่มีใครทำใคร
    ข้อ b หมายความว่าเด็กทั้งสองคนนั้นทำร้ายซึ่งกันและกันเอง แต่ไม่ได้ทำตัวเอง
ข้อควรสังเกต
  • I met John myself. = I met John. No one else met him.
    ฉันเป็นคนพบจอห์น ไม่มีคนอื่นพบ
  • I met John himself. = I met John. I didn't meet anyone else.
    ฉันพบจอห์นเท่านั้น ไม่ได้พบใครอื่น
Demonstrative Pronoun คือ pronoun ซึ่งชี้เฉพาะนามหรือคำเสมอนาม (noun equivalent) แบ่งออกเป็น 2 ชนิดคือ
  • Definite Demonstrative Pronoun (ชี้เฉพาะโดยชัดแจ้ง) ได้แก่
    this, that, these, those, one, ones, such, the former, the latter, the same, เป็นต้น
    (ซึ่งบางคำถ้าใช้ประกอบนาม จะกลายเป็น adjective) เช่น
    • That's an excellent idea.
    • This is my brother, and these are my two sisters.
    • My seat was next to that of the Major.
  • Indefinite Demonstrative Pronoun (ชี้อย่างกว้างๆ ไม่ชัดเจน) ได้แก่
    they เมื่อหมายถึงคนทั่วๆ ไป ไม่เจาะจงว่าคนกลุ่มไหน one เมื่อหมายถึงใครคนหนึ่งคนใดก็ได้ it เมื่อกล่าวถึงขึ้นโดยไม่เจาะจงถึงสิ่งใดสิ่งหนึ่ง we, you เมื่อกล่าวโดยไม่เจาะจง
ตัวอย่าง
  • They say we will have good weather next week.
    กล่าวกันว่าสัปดาห์หน้าอากาศจะดี

    คำ they ในที่นี้หมายถึงคนทั่วๆ ไป ไม่เจาะจงว่าคนกลุ่มไหน พวกไหน แต่ถ้าประโยคว่า
    They came last night.
    พวกเขามาเมื่อคืนนี้

    they ในตอนนี้เป็น personal pronoun หมายถึงคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งโดยเฉพาะ
  • One should never bath directly after eating.
    ใครก็ตามไม่ควรจะอาบน้ำทันทีทันใดหลังจากกินอิ่มใหม่ๆ

    One หมายถึง anyone ใครๆ ก็ตาม ใครคนใดคนหนึ่งก็ได้ ไม่เจาะจงลงไปว่าใครคนไหน
    หมายเหตุ: เมื่อใช้สรรพนาม one แล้ว ถ้าต้องการจะแสดงความเป็นเจ้าของต้องใช้ one's (อย่าใช้ his) เช่น
    One must take care of one's health. (ไม่ใช้ his health)
    คนเราต้องระมัดระวังในสุขภาพตนเอง

    แต่ทั้งนี้ต้องไม่นำไปปะปนกับ every one, some one (ในกรณีนี้เขียนห่างกัน ไม่ติดกัน) ซึ่งใช้ his ในการแสดงความเป็นเจ้าของ เช่น
    Every one must take care of his health.
  • It is raining. ฝนกำลังตก
  • Who is it? นั่นใคร
  • It was spring. เป็นฤดูใบไม้ผลิ
คำว่า it ในสามข้อสุดท้าย เป็นการกล่าวลอยๆ มีความหมายเลื่อนลอย ไม่ได้เจาะจงลงไปว่า it นั้นหมายถึงอะไร it ซึ่งทำหน้าที่เช่นนี้ เรียกว่าเป็น Indefinite Demonstrative
คำ we และ you ก็อาจเป็น Indefinite Demonstrative ได้ ถ้าหากเป็นการกล่าวลอยๆ ไม่ได้มุ่งหมายจะใช้แทนใครโดยเฉพาะ เช่น
  • We are sometimes afraid when there is no cause for fear.
    บางครั้งเราก็กลัวๆ ทั้งๆ ที่ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องกลัว
    (we ในที่นี้มีความหมายเหมือน one คือหมายถึงใครก็ได้)
  • You sometimes don't know what to say in such a case.
    บางครั้งคนเราก็ไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรในกรณีเช่นนั้น (you = one)
Demonstrative Pronoun คือ pronoun ซึ่งชี้เฉพาะนามหรือคำเสมอนาม (noun equivalent) แบ่งออกเป็น 2 ชนิดคือ
  • Definite Demonstrative Pronoun (ชี้เฉพาะโดยชัดแจ้ง) ได้แก่
    this, that, these, those, one, ones, such, the former, the latter, the same, เป็นต้น
    (ซึ่งบางคำถ้าใช้ประกอบนาม จะกลายเป็น adjective) เช่น
    • That's an excellent idea.
    • This is my brother, and these are my two sisters.
    • My seat was next to that of the Major.
  • Indefinite Demonstrative Pronoun (ชี้อย่างกว้างๆ ไม่ชัดเจน) ได้แก่
    they เมื่อหมายถึงคนทั่วๆ ไป ไม่เจาะจงว่าคนกลุ่มไหน one เมื่อหมายถึงใครคนหนึ่งคนใดก็ได้ it เมื่อกล่าวถึงขึ้นโดยไม่เจาะจงถึงสิ่งใดสิ่งหนึ่ง we, you เมื่อกล่าวโดยไม่เจาะจง
ตัวอย่าง
  • They say we will have good weather next week.
    กล่าวกันว่าสัปดาห์หน้าอากาศจะดี

    คำ they ในที่นี้หมายถึงคนทั่วๆ ไป ไม่เจาะจงว่าคนกลุ่มไหน พวกไหน แต่ถ้าประโยคว่า
    They came last night.
    พวกเขามาเมื่อคืนนี้

    they ในตอนนี้เป็น personal pronoun หมายถึงคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งโดยเฉพาะ
  • One should never bath directly after eating.
    ใครก็ตามไม่ควรจะอาบน้ำทันทีทันใดหลังจากกินอิ่มใหม่ๆ

    One หมายถึง anyone ใครๆ ก็ตาม ใครคนใดคนหนึ่งก็ได้ ไม่เจาะจงลงไปว่าใครคนไหน
    หมายเหตุ: เมื่อใช้สรรพนาม one แล้ว ถ้าต้องการจะแสดงความเป็นเจ้าของต้องใช้ one's (อย่าใช้ his) เช่น
    One must take care of one's health. (ไม่ใช้ his health)
    คนเราต้องระมัดระวังในสุขภาพตนเอง

    แต่ทั้งนี้ต้องไม่นำไปปะปนกับ every one, some one (ในกรณีนี้เขียนห่างกัน ไม่ติดกัน) ซึ่งใช้ his ในการแสดงความเป็นเจ้าของ เช่น
    Every one must take care of his health.
  • It is raining. ฝนกำลังตก
  • Who is it? นั่นใคร
  • It was spring. เป็นฤดูใบไม้ผลิ
คำว่า it ในสามข้อสุดท้าย เป็นการกล่าวลอยๆ มีความหมายเลื่อนลอย ไม่ได้เจาะจงลงไปว่า it นั้นหมายถึงอะไร it ซึ่งทำหน้าที่เช่นนี้ เรียกว่าเป็น Indefinite Demonstrative
คำ we และ you ก็อาจเป็น Indefinite Demonstrative ได้ ถ้าหากเป็นการกล่าวลอยๆ ไม่ได้มุ่งหมายจะใช้แทนใครโดยเฉพาะ เช่น
  • We are sometimes afraid when there is no cause for fear.
    บางครั้งเราก็กลัวๆ ทั้งๆ ที่ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องกลัว
    (we ในที่นี้มีความหมายเหมือน one คือหมายถึงใครก็ได้)
  • You sometimes don't know what to say in such a case.
    บางครั้งคนเราก็ไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรในกรณีเช่นนั้น (you = one)
Interrogative Pronoun คือ pronoun ที่ใช้แทนคำนามในการแสดงคำถาม ได้แก่
Who (Whom, Whose)? What ? Which?
Who = ใคร เช่น Who made it?
What = อะไร เช่น What do you do in the morning?
Which = อันไหน/สิ่งไหน/คนไหน เราใช้ which เมื่อมีนามหลายสิ่ง ไม่รู้ว่าสิ่งไหน เช่น
  • Which of your friends is cleverest?
    เพื่อนของคุณคนไหนที่ฉลาดที่สุด
  • Which of these two books do you want?
    คุณต้องการหนังสือเล่มไหนจากสองเล่มนี้
"Who" ใช้กับบุคคลเท่านั้น อาจเป็นเอกพจน์หรือพหูพจน์ และอาจใช้แทนนามเพศชายและนามเพศหญิง เช่น
"Who split the ink?" "Harry did."
"Who can answer that question?" "Ronald can."
การเปลี่ยนรูปของ who
Nominative (เมื่อเป็นประธาน): ใช้ who
Who always comes late? (ใครมาสายเสมอๆ)
Accusative (เมื่อเป็นกรรม): ใช้ whom
Whom do you see? (คุณเห็นใคร)
(Whom เป็น object ของกริยา see)
About whom does he speak? (เขาพูดถึงใคร)
(whom เป็น object หลังบุพบท about)
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันไม่นิยมใช้ whom ดังนั้นในประโยคคำถามซึ่งเป็นกรรม เราสามารถใช้ who แทนที่ได้
Genitive (เมื่อแสดงความเป็นเจ้าของ): ใช้ whose
Whose is that? (อันนั้นของใคร)
ระวัง!
To whom did you go? (คุณไปหาใคร)
ในที่นี้ whom อยู่ใน accusative นั่นคือเป็นกรรมของบุพบท
"What" มักใช้กับสิ่งของ เป็นได้ทั้งเอกพจน์และพหูพจน์ เป็นได้ทั้งประธานและกรรมของประโยค และไม่มีรูป Possessive เช่น What is this? What are those strange objects? ความแตกต่างระหว่าง "who" (สำหรับบุคคล) และ "what" (สำหรับสิ่งของ) จะสังเกตได้ชัดจากประโยคต่อไปนี้
Who broke the window? และ What broke the window?
Whom did you see? และ What did you see?
"What" อาจใช้แทนพฤติกรรม (Activity) หรือการกระทำ (Action) ในกรณีเช่นนี้คำตอบของคำถาม จะเป็นคำกิริยาในรูปต่างๆ
"What are you doing?" "I'm cleaning the car."
"What have you done?" "I've knocked the vase off the table."
"Which" ใช้กับบุคคลและสิ่งของ เป็นเอกพจน์และพหูพจน์เป็นทั้งประธานและกรรมของประโยค และไม่มีรูป Possessive เช่น
Which is your book? (Singular)
Which are your books? (Plural)
Which do you like best?
ข้อแตกต่างระหว่าง "what" และ "which"
"what" ใช้ในความหมายที่เราจะเลือกของต่างๆ จากจำนวนที่ไม่กำหนด แต่ "which" จะมีความหมายให้เลือกจากจำนวนที่กำหนด และการเลือกที่ใช้ "which" จะแสดงให้ชัดเจนยิ่งขึ้นด้วยโครงสร้าง "which of" เช่น
A: What are you taking in your examination?
B: I'm taking English, French, and German.
A: Which of them is your best subject?
B: English.
A: What would you like to study in next year's literature course?
B: A Shakespear's play
A: Very good; which would you like?
B: Macbeth.
ข้อแตกต่างระหว่าง "who" และ "which"
จงสังเกตความแตกต่างทางความหมายของคำทั้งสองจากประโยคต่อไปนี้
Who would you like to come from of football?
Which of you would like to come for a game of football?
หมายเหตุ
  • Who is he? หมายถึงว่าเขาชื่ออะไร
    Who is he? (He is Mr. Smith.)
    What is he? หมายถึงว่าเขาเป็นอะไร, มีอาชีพอะไร
    What is he? (He is a diplomat.)
  • กริยาของประโยคซึ่งมี preposition ตาม อาจวางตำแหน่งของ preposition ได้สองตำแหน่ง คือ ต้นประโยคและท้ายประโยค ทั้งนี้ตามความนิยมต่างกัน คือ
    • ในภาษาเขียนนิยมวาง proposition ไว้หน้าประโยค เช่น
      Of whom are you thinking? (คุณกำลังคิดถึงใคร)
    • ในภาษาพูดนิยมวาง preposition ไว้ท้ายประโยค เช่น
      Whom are you thinking of?
      (= Of whom are you thinking?)
Relative Pronoun หรือ Conjuctive Pronoun คือ pronoun ที่ใช้แทนคำนามที่กล่าวมาแล้ว (antecedent) และพร้อมกันนั้นก็ทำหน้าที่เชื่อมประโยคเข้าด้วยกันอีกด้วย
Relative Pronoun คล้ายกับ Demonstrative Pronoun มาก เพราะบางคำก็เป็นตัวเดียวกัน ดังนั้นจึงต้องสังเกตหน้าที่ของมันเป็นหลัก Demonstrative Pronoun นั้น เพียงแต่ใช้แทนนามที่กล่าวมาแล้ว แต่ Relative Pronoun ไม่เพียงแต่จะแทนนามข้างหน้าเท่านั้น ยังทำหน้าที่เชื่อมประโยคเข้าด้วยกันอีกด้วย เช่น
  • This is a good house. I live in it. (บ้านหลังนี้ดี ผมอยู่ในบ้านหลังนี้)
    (it ใช้แทน house; เป็น Demonstrative Pronoun)
  • This is the house in which I live.
    (which ใช้แทน it ซึ่งหมายถึง house และเชื่อมประโยคทั้งสองเข้าเป็นประโยคเดียวกัน จึงเป็น Relative Pronoun)
Relative Pronoun ได้แก่คำต่อไปนี้
who (ผู้ซึ่ง) ใช้กับบุคคลเมื่อเป็น subject
whom (ผู้ซึ่ง) ใช้กับบุคคลเมื่อเป็น object (ปัจจุบันไม่นิยมใช้ whom แต่ใช้ who แทนที่)
whose (ซึ่ง...ของ) ใช้กับบุคคลเมื่อแสดงความเป็นเจ้าของ
which (อันซึ่ง) ใช้กับสิ่งของ (subject และ object)
that (ซึ่ง, ที่ซึ่ง) ใช้ได้ทั้งบุคคลและสิ่งของ เป็นได้ทั้ง object และ subject
ต่อไปนี้เป็นเป็นประโยคแสดงการใช้ Relative Pronoun
  • The woman who understands me best is my mother.
    ผู้หญิงที่เข้าใจฉันดีที่สุดคือแม่ของฉันเอง

    who แทน woman (คือมี woman เป็น antecedent) who เป็น subject ของกริยา understands
  • The boy whom/ who you punished so severely was quite innocent of doing wrong.
    เด็กที่คุณทำโทษอย่างหนักนั้น ไม่ได้ทำผิดอะไรเลย

    whom, who ใช้แทน boy (มี boy เป็น antecedent) ทำหน้าที่เป็น object ของกริยา punished
  • The beggar to whom you gave some money will be sure to come again.
    ขอทานที่คนที่คุณให้สตางค์ไปนั้นจะต้องมาอีกแน่

    คำ whom แทน beggar เหตุที่ใช้ to whom เพราะประโยคเป็น you gave the money to whom เมื่อเอา whom มาเป็นคำเชื่อม ต้องเอา to มาด้วย (หรือมิฉะนั้นก็ต้องทิ้ง to ไว้ข้างหลัง money ตามเดิม) และในกรณีนี้ที่ whom เป็นกรรมตามหลัง preposition (to whom) ไม่สามารถใช้ who แทนที่ได้
  • That man whose name I have forgotten looks a little like you.
    ชายคนนั้นที่ฉันลืมชื่อไปแล้ว มองดูคล้ายๆ คุณอยู่บ้างนิดหน่อย

    whose แสดงความเป็นเจ้าของมี man เป็น antecedent ในกรณีนี้ ถ้าแยกออกเป็น 2 ประโยค จะได้ว่าประโยคที่หนึ่ง That man look a little like you. ประโยคที่สอง I have forgotten his name. ซึ่งเมื่อเปลี่ยนเป็น Relative Pronoun "his name" จะเปลี่ยนเป็น whose name นั่นเอง
  • The pencil which is in your pocket belongs to me.
    ดินสอซึ่งอยู่ในกระเป๋าคุณนั้นเป็นของผม

    ใช้ which เพราะว่า antecedent เป็นสิ่งของ (คือ pencil)
  • The trousers that I have had lengthened are still too short.
    กางเกงขายาวตัวซึ่งแก้ให้ยาวขึ้นแล้วนั้น ก็ยังคงสั้นไปอยู่นั่นเอง

    that มี trousers เป็น antecedent ซึ่งเป็นสิ่งของ
  • The tree whose branches are dead will be felled tomorrow.
    จะเห็นว่า whose ใช้แทนสิ่งที่ไม่ใช่คน (คือแทน tree) ซึ่งจะใช้ก็ได้ แต่ว่าตามปกติสำหรับสิ่งของต้องใช้ of which ดังนั้นประโยคข้อ 7 จึงควรเป็นดังนี้
    The tree the branches of which are dead will be felled tomorrow.
    ต้นไม้ซึ่งกิ่งของมันแห้งตายไปนั้นจะถูกโค่นพรุ่งนี้

    (ให้สังเกตว่า การใช้ of which นิยมวางไว้หลังคำนามที่มันประกอบ แต่ถ้าใช้ whose จะต้องวางไว้ข้างหน้าคำที่มันประกอบ)
  • The dog to which I gave a bone is very angry.
    สุนัขที่ผมให้กระดูกไปนั้นโกรธมาก

    คำ to which เป็น indirect object ของกริยา gave ในกรณีนี้ไม่สามารถใช้ that ได้ เมื่อ Relative Pronoun ทำหน้าที่เป็นกรรมตามหลัง preposition
หมายเหตุ การใช้ that เป็น Relative Pronoun
คำ that เป็นคำที่ใช้ได้อย่างกว้างขวางที่สุด กล่าวคือ
  • that ใช้ได้ทั่วไปทั้งคน, สัตว์ และสิ่งของ
  • that ใช้ได้ทันที โดยไม่คำนึงถึงบุพบท เช่น of which เราก็ใช้ that ได้ หรือ to whom เราก็ใช้ that แทนได้ (โดยปล่อยบุพบทไว้ที่เดิม)
การใช้ that นี้เรียกว่าเป็นกฎแห่งความปลอดภัย เพราะโอกาสที่จะใช้ผิดมีน้อยมาก ในกรณีที่สงสัยว่าจะใช้ who, whom, which, of whom, of which หรือ to whom ให้ใช้ that แทนได้เสมอ เช่น
  • The man who spoke to you is an Englishman.
    (The man that spoke to you is an Englishman.)
  • The man whom you see is an Englishman.
    (The man that you see is an Englishman.)
  • The man to whom you spoke is an Englishman.
    (The man that you spoke to is an Englishman.)
  • The book which is on the table is mine.
    (The book that is on the table is mine.)
  • The book about which I spoke is interesting.
    หรือ The book which I spoke about is interestng. (The book that I spoke about is interesting.)
ให้สังเกตว่าการวางตำแหน่งของ preposition นั้นถ้าใช้กับ which (หรือ whom) จะวางไว้ข้างหน้า which ก็ได้ (เช่น about which, of which, to which) หรือจะวางไว้หลังคำกริยาก็ได้
แต่ถ้าใช้ that แล้ว preposition จะต้องวางไว้หลังคำกริยาเท่านั้น จะใช้ of that, about that, to that ไม่ได้
Relative Pronoun ที่มองไม่เห็นรูป
บางประโยคไม่มี Relative Pronoun เพราะละเอาไว้ เช่น
That is the book I want.
(= That is the book which I want.)
ประโยคข้างบนนี้ ละคำว่า which (หรือ that) ไว้ แต่ไม่ใช่ว่าทุกประโยคจะละได้เสมอไป จะไม่ใช้ Relative Pronoun ได้ก็ต่อเมื่อเป็น Object เท่านั้น (จะเป็น object ของกริยาหรือของ preposition ก็ได้) เช่น
  • The man you see is younger than I am.
    = The man whom you see is younger than I am.
  • The beggar you gave the money to has gone.
    = The beggar whom you gave the money to has gone.
แต่จะละไว้ไม่ได้เมื่ออยู่หลังcomma (,) เช่น
My brother Smithy, whom you saw testerday, is younger than you are.
ประโยคข้างบนนี้ไม่สามารถเปลี่ยนให้เป็น My brother Smithy, you saw yesterday, is younger than you are. ได้ เนื่องจากมี comma
Restrictive Relative
Relative Pronoun อาจแบ่งต่อไปได้อีกเป็น 2 ชนิด คือ
  • Restrictive Relative Pronoun
  • Continuative Relative Pronoun
  • Restrictive Relative Pronoun ได้แก่คำซึ่ง
    • จำเป็นที่จะต้องมีในประโยคเพื่อกำหนดสิ่งหนึ่งขึ้นมาจากหลายๆ สิ่ง
    • ไม่มีเครื่องหมาย comma (,) ข้างหน้า
    • ตามปกติใช้คำว่า that แต่จะใช้ who หรือ which ก็ได้
    เช่น
    The house that (หรือ which) stands at the end of the street is extremely beautiful.
    (บ้านซึ่งอยู่สุดถนนนี้สวยงามที่สุด)
    ถ้าไม่มีประโยค that มาขยาย house ข้อความจะเป็น
    The house is extremely beautiful.
    (บ้านหลังนั้นสวยงามที่สุด)
    จะเห็นว่า คำ that กำหนดบ้านขึ้นมาหลังหนึ่งจากบ้านหลายๆ หลัง เมื่อขาด that แล้วประโยคนี้ก็ขาดความหมายอันสำคัญไป คือไม่รู้ว่าบ้านหลังไหน that จึงจำเป็นต่อประโยคนี้
  • Continuative Relative Pronoun ได้แก่คำซึ่ง
    • ไม่มีความจำเป็นแก่ใจความประโยค เพียงแต่เติมเข้ามาเพื่อให้รายละเอียดเพิ่มเติมขึ้นเท่านั้น
    • มีเครื่องหมาย comma (,) ข้างหน้า
    • จะใช้ that ไม่ได้ ใช้ได้เฉพาะ who หรือ which เท่านั้น
    เช่น
    Mr. Smithy, who will lecture tomorrow, is a man of vast experience.
    (คุณสมิธตี้ผู้ซึ่งจะบรรยายพรุ่งนี้ เป็นผู้ที่มีประสบการณ์อย่างกว้างขวาง)
    จงเปรียบเทียบประโยคต่อไปนี้
    • His brother who lives in Japan will return soon.
    • His brother, who lives in Japan, will return soon.
    ประโยค A. who lives in Japan ไม่มี comma ดังนั้นความหมายของประโยคนี้จึงเห็นว่า เขามีพี่ชายหลายคน พี่ชายคนที่อยู่ญี่ปุ่นจะกลับมาเร็วๆ นี้ ซึ่งจะเห็นว่าความหมายของประโยคจะต่างไปจากประโยค B. ซึ่งมีเครื่องหมาย comma คือ ประโยค B จะมีความหมายว่า พี่ชายของเขาซึ่งอยู่ในญี่ปุ่นจะกลับมาเร็วๆ นี้ (เขามีพี่ชายเพียงคนเดียวซึ่งที่ญี่ปุ่น)
หมายเหตุ
  • ในกรณี 4 ประการต่อไปนี้ ต้องใช้ that เสมอ (ใช้ who ได้ถ้าเป็นบุคคล)
    • หลังคุณศัพท์ขั้นสุด เช่น
      It's the highest mountain that he has ever climbed.
      (เป็นภูเขาสูงที่สุดที่เขาเคยปีน)
    • หลังคำแสดงลำดับที่ เช่น
      He is the first student that (หรือ who) has ever done this exercise correctly.
      (เขาเป็นนักเรียนคนแรกที่ทำแบบฝึกหัดนี้ได้ถูกต้อง)
      She is the second girl that (หรือ who) can write it correctly.
      (เธอเป็นนักเรียนคนที่สองที่สามารถเขียนได้อย่างถูกต้อง)
    • หลังคำต่อไปนี้ต้องใช้ that เท่านั้น (ยกเวันถ้าเป็นบุคคลใช้ who ได้)
      alleverythinganything
      nothingsomethingsome
      anynonemuch
      littleonlyvery*
      * เป็นกรณีที่ very แสดงการเน้น
      เช่น
      • Everything that I say is wrong.
        (ทุกสิ่งที่ผมพูดผิดทั้งเพ)
      • He told me all that lay n his heart.
        (เขาบอกทุกสิ่งที่อยู่ภายในใจของเขาแก่ผม)
      • There is much that I desire in life.
        (สิ่งที่ผมปรารถนาในชีวิตนี้มีมาก)
      • That is the very book that was stolen.
        (นั่นแหล่ะคือหนังสือเล่มที่ถูกขโมยไป)
      • He is the only person that thinks so.
        (=He is the only person who thinks so.)
        (เขาเป็นคนเดียวที่คิดเช่นนั้น)
    • ใช้ that ในกรณีที่มี noun สองคำในประโยค และ noun ทั้งสองตัวนี้ ถ้าเปลี่ยนแปลงตามกฎแล้วคำหนึ่งต้องใช้ who อีกคำหนึ่งต้องใช้ which ในกรณีนี้ให้ใช้ that แทนเพียงคำเดียว เช่น
      The book was about the men and the animals that the author had met on his travel.
      (หนังสือเล่มนั้นกล่าวถึงผู้คนและสัตว์ทั้งหลาย ซึ่งผู้แต่งได้พบการเดินทางของเขา)
      จะเห็นว่า that ใช้แทนทั้ง men และ animals (men ต้องใช้ who และ animals ต้องใช้ which เราจึงใช้ that แทนรวมกันไป)
  • in which, to which, at which ใช้ where แทนก็ได้ (เกี่ยวกับสถานที่)
    • The house is very comfortable. I live in the house.
      = The house in which I live is very comfortable
      หรือ (อันสุดท้ายนี้ดูดีกว่า) The house where I live is very comfortable.
    • The place is called Grandline. I went to Grandline yesterday.
      = The place to which I went yesterday is called Grandline.
      หรือ (อันสุดท้ายนี้ดูดีกว่า) The place where I went yesterday is called Grandline.
  • ใช้ as เป็น relative pronoun หลังคำ such (such…as) ใช้ as หรือ that หลังคำ the same (the same…as(that)) ใช้เมื่อเป็นประธานหรือกรรมเท่านั้น
    • I don't like such a man. He is dishonest.
      = I don't like such a man as is dishonest.
    • This is the same book. I bought the book yesterday.
      = This is the same book that (as) I bought yesterday.
   He is able who thinks he is able. --Buddha
 Indefinite Pronoun ใช้แทนคำนามที่กล่าวถึงโดยไม่เฉพาะเจาะจง คือกล่าวถึงคำนามทั่วๆ ไป ไม่กำหนดชัด คำ Indefinite Pronoun จะนับเป็นคำ Indefinite Demonstrative Pronoun ก็ได้
everyoneeverybodyeverythingall
someonesomebodysomethingany
anyoneanybodyanythingeither
no onenobodynothingmuch
นอกจากนี้ยังมีคำอื่นๆ อีก เช่น
a bodyคนใดคนหนึ่ง
a manใครก็ได้, คนใดคนหนึ่ง
no manไม่มีใคร
menคนทั้งหลาย
a thingสิ่งใดสิ่งหนึ่ง, อะไรก็ได้
a whit, a bitนิดหน่อย, สักนิดหน่อย
a good dealมากมาย
a great dealมากมาย
the shadowเงา, ลมๆ แล้งๆ
someส่วนใดส่วนหนึ่ง
ตัวอย่าง
  • I must ask somebody the time.
    ฉันจะต้องถามเวลากับใครสักคนหนึ่ง
  • What is a body (=person) to do in such circumstances?
    ในสภาพแวดล้อมอย่างนั้น คนเราจะทำอย่างไรกัน
  • You haven't the shadow of a chance to pass the examination.
    แม้แต่เงาของโอกาสที่จะสอบได้คุณก็ยังไม่มี
Indefinite Pronoun นั้นบางคำเป็น adjective ได้ ดังนั้นจึงต้องสังเกตให้ดีว่ามันทำหน้าที่อะไร ถ้าประกอบนามก็เป็น adjective ไม่ใช่ pronoun โปรดสังเกตดังตัวอย่างต่อไปนี้
  • I wish I had some red roses. (เป็น Adj.)
  • I must try to grow some next year. (เป็น Pron.)
  • Ask Smith if he has any. (เป็น Pron.)
  • Have you any matches? (เป็น Adj.)
  • We all like Mr. Smithy very much. (เป็น Pron.)
  • All students must attend class at 9 o'clock. (เป็น Adj.)

  ที่มา  http://planet.kapook.com/tncgramma/blog/viewnew/35334
http://www.learners.in.th/blogs/posts/494716
http://ict.moph.go.th/English/content/pronouns.htm

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น